6 สิ่งที่คนรักรถไม่ควรทำ

อย่าทำ อย่าทำ คนรักรถทุกคนก็อยากมีรถสภาพดีเอาไว้ใช้กันนานๆ แต่บางทีอาจจะมีพฤติกรรมที่ทำไปโดยไม่ตั้งใจซึ่งส่งผลเสียกับรถของเราได้ ซึ่งถ้าใครยังทำพฤติกรรมเหล่านี้บ่อยๆ ให้รีบปรับพฤติกรรมโดยด่วนเพราะจะส่งผลเสียต่อรถของโดยไม่รู้ตัว

1. จอดรถในที่ลาดชัน

ถึงจะไม่ทำบ่อยแต่อย่างน้อยคงต้องเคยบ้างสักครั้งกับการต้องฝืนจอดรถในพื้นที่ลาดชัน อย่างคอสะพานหรือเนินเขา การจอดรถแบบนี้จะเพิ่มภาระให้กับโช้คในฝั่งที่ลาดลง เพราะน้ำหนักของรถจะถ่ายเทไปตามแรงโน้มถ่วง และส่วนเกียร์และเบรกก็ยังต้องมารับภาระในการจอดแบบนี้อีกด้วย ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องจอดรถในพื้นที่ลาดชันให้ทำเทคนิคดังนี้ คือ ให้จอดรถชิดกับขอบถนน จากนั้นให้หักพวงมาลัยไปฝั่งฟุตปาทหรือกำแพง เพื่อให้ล้อเกิดแรงต้านกับถนนและเพิ่มความปลอดภัยเมื่อรถไหล จากนั้นดึงเบรกมือขึ้นจนสุด เมื่อพบว่ารถไม่เคลื่อนตัวแล้ว จึงค่อยเข้าเกียร์ P แบบนี้จะช่วยรักษาเกียร์และเบรกได้ แต่หากใครที่ต้องจอดในทางลาดชันบ่อยๆ ให้เปลี่ยนที่จอดจะดีกว่า เพราะนานๆ เข้าจะส่งผลต่อชุดเกียร์และยางแท่นเกียร์ได้

2. หักพวงมาลัยสุด

เวลาเราเลี้ยวรถในที่คับขันเร็วๆ อย่างบนลานจอดรถ มักจะเผลอหักพวงมาลัยจนสุดจนดังกึ๊กๆ แบบนี้ไม่ดีต่อระบบช่วงล่างเพราะจะเกิดแรงดันของน้ำมันเพาเวอร์ที่ไหลย้อนกลับไปที่ปั๊มน้ำมันเพาเวอร์ จนอาจทำให้เกิดการรั่วซึมหรือเกิดการรั่วตามสาย กลายเป็นปัญหาจุกจิกตามมา และที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเลยคือ การออกตัวแบบกระชากเวลาที่หักพวงมาลัยจนสุด แบบนี้นับเป็นการทำร้ายทั้งลูกปืนและเพาเวอร์โดยแท้

3. สร้างกลิ่นในรถ

สิ่งต่างๆ ที่ส่งกลิ่น ทั้งอาหาร บุหรี่ สัตว์เลี้ยง รวมไปถึงน้ำหอมปรับอากาศในรถ ย่อมไม่เกิดผลดีกับรถไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะกลิ่นเหล่านี้จะลอยเข้าไปในระบบปรับอากาศ ฝังตัวอยู่ในเบาะ พอนานๆ เข้าก็จะฝังลึก กลายกลายเป็นกลิ่นเหม็นติดรถ และบอกเลยว่ากลิ่นพวกนี้เอาออกยากมาก

4. ออกตัวกระชาก

บางคนอยากสวมจิตวิญญาณนักแข่งบนท้องถนนชอบออกตัวกระชากเอามัน กระชากในที่นี้คือการเร่งเครื่องก่อนจะออกตัวในตำแหน่ง N จากนั้นก็จะเข้าเกียร์ D ให้รถกระชากออกไปอย่างสะใจ แต่รู้หรือไม่ว่าการทำแบบนั้นบ่อยๆ จะทำให้ชุดเกียร์ขบกันจนเกิดความเสียหาย และน้ำมันเกียร์จะเกิดความร้อนเฉียบพลัน ทำให้ชิ้นส่วนภายในห้องเกียร์เสียหาย ดีไม่ดีอาจต้องยกเกียร์ใหม่ทั้งลูก

5. ปล่อยให้น้ำมันหมด

แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราจะขับรถจนน้ำมันหมด แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากเราเป็นคนขี้ลืม หรืออยู่ในจุดที่หาปั๊มไม่ได้จริง แต่อย่างไรก็ตามการที่เราขับรถจนน้ำมันหมดนอกจากจะทำให้ปวดหัว ต้องหารถมาลากจูงแล้ว ยังเกิดผลเสียต่อรถได้เหมือนกัน เพราะช่วงก้นถังจะมีตะกอนน้ำมัน ส่งผลทำให้ปั๊มติ๊กอุดตันได้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อปั๊มเชื้อเพลิงแรงดันสูง และอาจลามไปถึงหัวฉีดได้อีกด้วย

6. ไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะ

โดยปกติแล้วรถยนต์จะมีกำหนดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ระยะทาง 5,000 – 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน แต่บางคนอาจจะไม่มีเวลาหรือละเลยทนใช้กันไปก่อนเพราะเห็นว่ายังขับได้อยู่ แต่การกระทำแบบนี้จะส่งผลเสียตามมาโดยไม่รู้ตัว เริ่มต้นเลยน้ำมันเครื่องจะเกิดความหนืดตัวขึ้น ไม่ทำหน้าที่ปกป้องเครื่องยนต์ได้เหมือนเดิม ต่อมาเครื่องยนต์จะเกิดการเสียดสีมากขึ้นทำให้เครื่องหลวม กินน้ำมัน เผาไหม้ไม่หมดจดส่งควันดำออกมา และหากยังทำเฉยเมยอยู่ คราวนี้น้ำมันเครื่องจะไปยึดเกาะกับส่วนภายในกลายเป็นยางเหนียวๆ สีดำ ทีนี้แหละจากเสียน้อยจะกลายเป็นเสียมาก

Facebook
Twitter
LinkedIn

บทความน่าสนใจ

ยางไทยมาแรง Dcenti Hammer AT Luxury Tires for Driving Comfort

ใครมองว่า Dcenti ยางไทย จะมีเทคโนโลยียางซิ่งอย่างเดียว หันกลับมามองใหม่ได้เลย เพราะ Dcenti Hammer AT เป็นยาง ที่ครบเครื่องเรื่องตะลุย ไม่ว่าจะดิน หิน โคลน ทางเรียบ หรือน้ำ แถม ยังนุ่ม เงียบ อีกด้วย

Read More »

เก็บตกภาพบรรยากาศ งานแข่ง ” PARTY เจ้าพ่อร้านยาง DRAG ” ที่สนาม Bangkokdrag Avenue (คลอง5) จ.ปทุมธานี

เก็บตกภาพบรรยากาศ งานแข่ง ” PARTY เจ้าพ่อร้านยาง DRAG ” ที่สนาม Bangkokdrag Avenue (คลอง5) จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565

Read More »